หัวใจนักรบ วิวาหพระสมุท
เวนิสวานิช มัทนะพาธา
หัวใจชายหนุ่ม สาวิตรี ศกุนตลา พระร่วง ท้าวแสนปม
ธรรมาธรรมะสงคราม นิทานทองอิน
เสียสละ เพื่อนแท้
พระนลคำฉันท์
มงคลสูตรคำฉันท์ เห็นแก่ลูก
โรมิโอจูเลียต
โคลนติดล้อ ฯลฯ
เชื่อว่าทุกท่านคงจะเคยได้ยินชื่อวรรณกรรมข้างต้นกันมาบ้างแล้ว
เพราะหลายเรื่องได้รับการคัดสรรให้เป็น บทเรียนในหลักสูตรและหนังสืออ่านนอกเวลามาเป็นเวลาหลายสิบปี
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่
๖ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเท่านั้น ยังมีพระราชนิพนธ์นับพันเรื่องทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง สารคดี และบันเทิงคดีทั้ง เรื่องแต่ง เรื่องแปล
เรื่องแปลง ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพสูงยิ่งทั้งเชิงภาษาและแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
หรือสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า จอมปราชญ์ของชาติไทย
เมื่อวันที่ ๑ มกราคม
พุทธศักราช ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีประกาศพระราชทานรางวัลแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
ผู้แสดงความสามารถเรียนรู้พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ขึ้น เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศในเชิงการประพันธ์วรรณคดี
โดยพระราชทานเงินจำนวน ๘๐๐บาทเป็นประเดิมสำหรับเป็นรางวัลและพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลในการนี้ด้วย
ต่อมาได้มีประกาศพระนามและนามกรรมการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งให้เป็นผู้ตัดสินให้รางวัล เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๗๐ มีพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นประธานกรรมการ พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าธานีนิวัต นายกกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย และ มหาอำมาตย์โท
พระยาสุรินทราชา เป็นกรรมการ มีอำมาตย์เอก
พระราชธรรมนิเทศ เป็นเลขานุการ
ในประกาศดังกล่าวได้กำหนดพระราชนิพนธ์ที่จะใช้สอบไว้ล่วงหน้า
๓ ปี ได้แก่
พ.ศ.๒๔๗๑ เรื่องรามเกียรติ์รัชกาลที่
๖ ชุดพิเภษณ์ถูกขับ และ
ประชุมนิทานรัชกาลที่ ๖ ฉบับพระโสภณอักษรกิจ
พ.ศ. ๒๔๗๒ บทละคร เรื่อง
เสียสละ และ เรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
พ.ศ. ๒๔๗๓ เรื่อง
ธรรมาธรรมะสงคราม และบทละครเรื่อง
หัวใจนักรบ
โดยได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสิน
ได้แก่ ความรู้ในเรื่อง
ความรู้ในข้อความสาขาที่อ้างถึงในเรื่อง
และความรู้ในเชิงโวหารและสำนวน
ผู้ที่สอบได้ที่ ๑ จะได้รับพระราชทานรางวัลเป็นหนังสือ ราคารวมประมาณ ๕๐
บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม
๒๔๗๐ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต นายกกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย ได้ทรงแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการดังกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
“ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ ๘๐๐ บาท
ให้เป็นทุนสำหรับใช้จ่ายรางวัลแก่นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
ผู้ที่ได้แสดงความสามารถเรียนรู้ในหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงสถาปนาและทำนุบำรุงโรงเรียนตั้งแต่เริ่มมา
และมีผู้โดยเสด็จพระราชกุศลนี้ช่วยเหลือเงินรวมอีกราว ๓,๓๐๐ บาทกว่าๆ
ซึ่งควรจะได้ดอกเบี้ยพอกับรางวัลซึ่งจะให้เป็นหนังสือหรือสิ่งของราคาไม่เกิน ๕๐
บาท กับถ้ามีผู้อื่นสอบได้ดี
กรรมการในการนี้มีสิทธิ์ที่จะพิจารณาความชอบ
เพื่อขอพระบรมราชานุญาตจ่ายรางวัลพิเศษเพิ่มเติมให้อีกได้ แต่คาดว่าปีหนึ่งจะจ่ายไม่เกินกว่า ๑๐๐ บาท”
สำรวล พุกกะณานนท์ นักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย เลขประจำตัว ๙๐ (พ.ศ.
๒๔๖๙-๒๔๗๙) ได้บันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของรางวัลพระราชทานการแสดงความสามารถเรียนรู้พระราชนิพนธ์รัชกาลที่
๖ ไว้ดังนี้
“...โรงเรียนจัดให้เรียนกวีนิพนธ์เป็นพิเศษเฉพาะม.๗
และม.๘ ใครสมัครก็ได้ไม่บังคับ เพราะไม่เกี่ยวกับการเรียนธรรมดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ไม่ใช่ครู) เป็นผู้เลือกหนังสือให้เรียน ตรวจข้อสอบ
และให้รางวัล
หนังสือที่เรียนเป็นพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ
พระผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระราชทานรางวัลเป็นหนังสือปกแข็งเดินทองหลายเล่มแก่ผู้สอบได้ที่หนึ่ง และคนแรกที่ได้รับพระราชทานรางวัล มีหนังสือพิมพ์มาขอถ่ายรูปที่ข้างหอประชุม ชื่อ ประกอบ
หุตะสิงห์ อดีตประธานศาลฎีกา และองคมนตรี…”
กมล ชาญเลขา นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเลขประจำตัว ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๖๙ - ๒๔๗๖) ได้บันทึกความทรงจำไว้ว่า
“...รางวัลกวีนิพนธ์เป็นรางวัลที่ให้แก่นักเรียนชั้นสูงที่สอบความรู้เกี่ยวกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้คะแนนเป็นเยี่ยมในการสอบแข่งขันประจำปี
คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ชั้นสูง(ซึ่งเป็นกวีด้วย)
จะได้กำหนดพระราชนิพนธ์สองเรื่องเพื่อทำการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์
ปีที่ข้าพเจ้าเข้าสอบและได้รับรางวัลพระราชทานนั้น กรรมการสัมภาษณ์ประกอบด้วย พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี และพระยาสุรินทราชา พระราชนิพนธ์ที่กำหนดในปีนั้น คือ เรื่องพระร่วง และเสภาพระยาราชวังสัน เมื่อถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์นั้นข้าพเจ้ารู้สึกประหม่า
เนื่องจากเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตกอยู่ในฐานะมานั่งโต้ตอบกับบรรดากวีเอกของประเทศ ซึ่งบางท่านก็เป็นเจ้านายชั้นสูง ข้าพเจ้ายังจำได้ว่ากรมหมื่นพิทย์ฯ หรือ
น.ม.ส.ได้รับสั่งถามว่า “มีบทเสภาตอนหนึ่งว่า “จึงหลงรักมัสหมั่นขันจริง” เธอรู้ไหมมัสหมั่นน่ะอะไร”
ข้าพเจ้าตอบว่ามัสหมั่นเป็นแกง
แต่เมื่อเห็นทรงสรวล
จึงกราบทูลไปว่า ในที่นี้หมายถึงแขกคือนางบัวผันอยากมีผัวแขก
ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้ามาก เพราะต่อมาข้าพเจ้าคุ้นเสียแล้วจึงไม่ใคร่ประหม่าในการถูกสัมภาษณ์ แม้แต่ในการสอบชิงสกอลาร์ชิป ซึ่งกรรมการประกอบด้วยกรมหมื่นนราฯ
หลวงวิจิตรวาทการ และหลวงศรีปรีชาฯ ข้าพเจ้าก็ได้โต้ตอบให้กรรมการหัวเราะได้…”
ม.จ.พิริยดิศ ดิศกุล
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเลขประจำตัว ๒๔๙ (พ.ศ.๒๔๗๒ - ๒๔๘๑) ได้ทรงเล่าประสบการณ์ในปีสุดท้ายของการเรียนของท่านไว้ดังนี้ “...ในปีสุดท้ายของการเรียนของผม
ก็ให้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ครูทั้งโรงเรียนหมดความสุขไปตามๆ กัน เพราะมีการสอบตกภาษาไทยกันหลายคน ในจำนวนนี้มีผมซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
พระโอรสของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หรือ น.ม.ส.
ที่ได้รับการถวายพระนามว่าเป็นปราชญ์ของเมืองไทยอีกด้วย เราทั้งสองคนถูกพ่อเล่นงาน และต่างก็ต้องอ้างซึ่งกันและกัน ...
ผมกลับมาเรียนใหม่ด้วยปณิธานใหม่
และต้องขอคุยอวดด้วยว่า
ปีนั้นผมสอบแข่งขันกวีนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับรางวัลที่ ๒ คนที่ ๑ คือ
นายแพทย์มงคล รัตนปราการ…”
สำหรับกรรมการรางวัลนั้น
กรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยได้มีการเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิทางอักษรศาสตร์โดยเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลไปตามความเหมาะสม
อาทิ ในปีพ.ศ. ๒๔๗๘
ได้มีการเสนอชื่อพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
พระธรรมนิเทศทวยหาญ พระยาสุนทรพิพิธ
โดยมี พระวรเวทย์พิสิษฐ์ เป็นเลขานุการ ปีพ.ศ. ๒๔๘๖ กรรมการ ประกอบด้วยอธิบดีกรมสามัญศึกษา ข้าราชการในกระทรวงศึกษา และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนหนึ่งคน โดยนายกกรรมการฯ เป็นผู้แต่งตั้ง
นอกจากจัดสอบแข่งขันแล้ว ยังได้มีการจัดพิมพ์หนังสือพระราชนิพนธ์ซึ่งปรากฏหลักฐานว่า
ปีพ.ศ. ๒๔๘๒ หนังสือพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ ไม่มีจำหน่ายหรือมีแต่ราคาแพง
กรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยจึงได้ให้โรงพิมพ์ช่างพิมพ์วัดสังเวช
ของกระทรวงธรรมการจัดพิมพ์เพื่อจำหน่ายแก่นักเรียนและประชาชนทั่วไปในราคาถูก
“กำเนิดรางวัลพระราชนิพนธ์” นี้ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง
อาทิ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และบทความของนักเรียนเก่าจากหนังสือของโรงเรียน ได้แก่ OV รุ่นลายครามรำลึก
วชิราวุธวิทยาลัยครบ ๕๐ ปี
ซึ่งบทความเหล่านี้ต่อมาได้ถูกพิมพ์ซ้ำในหนังสือที่ระลึกครบรอบ ๙๐
ปีของโรงเรียนชื่อว่า “เราตรองตรึกระลึกความครั้งกระโน้น...”
หมายเหตุ : แก้ไขเพิ่มเติมจากเรื่อง รางวัลพระราชนิพนธ์ ที่ผู้เขียนเรียบเรียงไว้ในหนังสือ
“วชิราวุธวิทยาลัย
เหลียวหลัง...แลไกล สู่วิสัยทัศน์ศตวรรษที่ ๒”ภาคปัจจุบัน (๒๕๕๔)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น